|
สารฟอกขาวในอาหาร
|
สารฟอกขาวเป็นสารเคมีที่มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในการผลิตอาหารหลายประเภท
ทั้งในอาหารที่อนุญาตและไม่อนุญาตให้ใส่สารฟอกขาว โดยพบการตกค้างในปริมาณสูงในอาหารหลายชนิด
จึงถูกจัดเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ต้องมีการเฝ้าระวังในการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอย่างใกล้ชิด |
|
สารฟอกขาวที่นิยมใช้ในอาหารบ้านเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของสารประกอบซัลไฟต์
ซึ่งเป็นชื่อรวมของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และเกลืออนินทรีย์ของกรดซัลฟูรัสซึ่งแตกตัวให้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
สารฟอกขาวบางตัวไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร ได้แก่
สารไฮโดรซัลไฟต์ (ยาซัด) เป็นสารที่นิยมใช้ในการฟอกย้อมผ้า
แต่พบว่ามีผู้ผลิตหลายรายนำมาใช้ในการผลิตอาหารเพื่อฟอกสีอาหารให้ดูน่ากิน |
|
สารซัลไฟต์เป็นสารเคมีที่นิยมใช้เป็นสารกันเสียเพื่อป้องกันและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์
ใช้เป็นสารกันหืนเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันในอาหารที่จะทำให้เกิดการเหม็นหืนในผลิตภัณฑ์นั้น
และที่สำคัญยังสามารถใช้เป็นสารฟอกขาวอีกด้วย เนื่องจากมีคุณสมบัติยับยั้งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงเป็นสีน้ำตาลซึ่งเกิดในอาหารหลายประเภท
เช่น ผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวานจากพืช และอาหารทะเล
กุ้ง ปู ปลา ปลาหมึก เป็นต้น |
|
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เอง
ทำให้มีการนำสารนี้มาใช้กันอย่างกว้างขวางในการผลิตอาหารต่างๆ
เช่น การผลิตอาหารทะเลแช่แข็ง การผลิตน้ำตาล ทั้งน้ำตาลทราย
น้ำตาลปี๊บ และน้ำตาลปึก การฟอกสีผลิตภัณฑ์จากแป้ง เช่น
แป้งสาลี วุ้นเส้น เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เป็นต้น พืชผักผลไม้ที่ปอกเปลือกและต้องการเก็บไว้นานๆ
โดยไม่เกิดสีน้ำตาลเข้มขึ้น เช่น การผลิตมันฝรั่งอบแห้ง
กล้วยอบแห้ง บางครั้งมีการนำไปแช่ถั่วงอก หน่อไม้ หรือใส่ในการผลิตผลไม้แห้ง
ผลไม้ดองและแช่อิ่ม การผลิตน้ำผลไม้ ใช้เป็นสารฆ่าเชื้อในการผลิตไวน์
|
|
โดยปกติถ้าได้รับในปริมาณไม่มาก
ร่างกายคนจะมีเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยนสารซัลไฟต์เป็นสารซัลเฟต
ซึ่งไม่มีพิษต่อร่างกายและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม การได้รับสารกลุ่มนี้ในปริมาณมากก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคได้
|
อาการความเป็นพิษที่เกิดขึ้นจะมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
เช่น ผู้เป็นโรคหอบหืด มีอาการที่พบคือ หายใจขัด เจ็บหน้าอก
ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง เวียนศีรษะ ความดันเลือดต่ำ
เป็นลมพิษ และอาจเกิดอาการซ็อก หมดสติได้ ระดับความรุนแรงของอาการขึ้นกับปริมาณการได้รับว่ามากน้อยแค่ไหน |
|
นอกจากนี้
สารนี้ยังสามารถทำปฏิกิริยากับวิตามินบางชนิด เช่น ไทอามีน
ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคขาดวิตามินตัวนี้ ถ้าได้รับต่อเนื่องเป็นเวลานานจะเกิดพิษสะสมขึ้นโดยไปรบกวนการทำงานของเอนไซม์
ก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายได้
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่าความปลอดภัยต่อการบริโภคในชีวิตประจำวันของสารกลุ่มนี้ไม่ควรบริโภคเกิน
0.7 มิลลิกรัมซัลเฟอรไดออกไซด์ ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
ต่อ 1 วัน และประเทศไทยได้อนุญาตให้สารซัลไฟต์เป็นสารฟอกขาวใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหลายประเภท
เช่น การผลิตน้ำตาล วุ้นเส้น เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยว ลูกเกด
และอาหารทะเลเยือกแข็ง เป็นต้น
|
โดยมีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่ยอมให้มีการตกค้างในอาหารแต่ละประเภทแตกต่างกันไป
ขึ้นกับปริมาณและลักษณะการบริโภคอาหารนั้นๆ แต่ก็เป็นการกำหนดตามมาตรฐานสากลซึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลตามลักษณะการบริโภคอาหารของชาวตะวันตก
อย่างไรก็ตาม มีการสำรวจพบการตกค้างของสารฟอกขาวในกลุ่มของสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์
ซึ่งไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร สารกลุ่มนี้นิยมใช้เป็นสารฟอกขาวในอุตสาหกรรม
เช่น ฟอกย้อม สิ่งทอ และกระดาษ เป็นต้น
สารกลุ่มนี้มีความเป็นพิษรุนแรงกว่าสารซัลไฟต์ตัวอื่นมาก
ทำให้เกิดการอักเสบที่ลำคอและระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง
คลื่นไส้ อาเจียน การไหลเวียนเลือดล้มเหลว ระบบหายใจล้มเหลว
หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้
ดังนั้นการเลือกซื้ออาหารควรดูฉลากที่แสดงการใช้วัตถุเจือปนอาหารที่มีการระบุในฉลาก
สำหรับคนที่เป็นโรคหอบหืดควรระวังการบริโภคอาหารที่มีการใช้สารฟอกขาวกลุ่มที่กล่าวมานี้ในการผลิต
ไม่ควรบริโภคอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ
ส่วนอาหารที่ได้ต้องแสดงฉลาก ควรสังเกตลักษณะปรากฏของอาหารว่าโดยธรรมชาติของอาหารควรเป็นอย่างไร
เช่น ผักผลไม้ที่ปอกเปลือกเมื่อวางทิ้งไว้จะมีสีคล้ำขึ้น
ถั่วงอกเมื่อเด็ดหางออกบริเวณที่มีรอยฉีกขาดจะมีสีคล้ำขึ้น
น้ำตาลชนิดต่างๆ มักมีสีน้ำตาลถ้าผลิตโดยไม่ใช้สารฟอกขาว
น้ำตาลปี๊บน้ำตาลปึกเมื่อเก็บไว้นานๆ ที่อุณหภูมิห้อง
จะมีสีน้ำตาลเข้มขึ้นเรื่อยๆ |
ดร.เวณิกา
เบ็ญจพงษ์ (สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล)
คัดลอกจาก "หมอชาวบ้าน" ธ.ค. 2546
|
|
ประเภทอาหารที่มีสารฟอกขาวปะปน |
ได้แก่
ทุเรียนกวน ถั่วงอก หน่อไม้ ขิงซอย ขนมจีน อื่น ๆ มีการใช้สารฟอกสีเพื่อทำให้อาหารมีความขาวสดใส
น่ารับประทานและดูใหม่อยู่เสมอ สารฟอกสีที่เป็นอันตรายไมอนุญาตให้ใช้
แต่ผู้ประกอบการบางรายมักนำมาใช้กัน ได้แก่ สารโซเดียมไฮโดซันไฟต์
(Sodium hydrosulfite) หากสัมผัสผิวหนังจะทำให้ผิวหนังอักเสบ
เป็นผื่นแดง
และถ้าบริโภคเข้าไปทำให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสอาหาร
เช่น ปาก ลำคอ กระเพาะอาหาร อาการเกิดอาการปวดหลัง ปวดศีรษะ
อาเจียน แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว
หากบริโภคเกิน 30 กรัม อาจทำให้เสียชีวิตได้
|
|